ภาวะตลาดช่วงนี้ดูไม่ค่อยสดใสนะครับ คนเล่นหุ้นคงต้องถอยตั้งหลักกันก่อน แต่สำหรับคนที่ Short Futures ไว้คงได้กำไรกันบ้างนะครับ แต่หากใคร Long Futures ไป แล้วยังไม่ได้ปิดสถานะ วันนี้เรามีกลยุทธ์การทำประกันพอร์ทที่เรียกว่า Protective Put มาแนะนำครับ
Protective Put เป็นกลยุทธ์ที่เน้นป้องกันความเสี่ยงเหมือนกับ Covered Call ที่เราพูดถึงกันไปในครั้งที่แล้ว แต่การคาดการณ์ตลาดจะต่างกัน โดย Protective Put นั้นเป็นการ Long Futures ควบคู่ไปกับการ Long Put โดยกลยุทธ์นี้จะเหมาะกับช่วงที่ตลาดผันผวนสูง นักลงทุนมองว่าตลาดจะขึ้นแรง และได้ Long Futures เอาไว้ก่อนแล้ว แต่ก็กังวลว่าตลาดอาจจะลงแรงได้เช่นเดียวกัน จึงได้ทำการลดความเสี่ยงโดยการ Long Put เพื่อจำกัดผลขาดทุนในกรณีที่ตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์
ตัวอย่าง เช่น นาย ก คาดว่าสิ้นปีจะมีการเลือกตั้งและดัชนี SET50 น่าจะปรับตัวขึ้นแรงได้ จึง Long Futures S50Z07 ที่ราคา 650 จุด ต่อมาตลาดเกิดความผันผวนสูงจากปัจจัยภายนอกประเทศ ทำให้มีความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง จึงลดความเสี่ยงด้วยการซื้อพุทออปชัน S50Z07P670 จำนวน 5 สัญญา ที่ราคา 40 จุด โดยจ่ายค่าพรีเมียมไป 40,000 บาท ทั้งนี้ เนื่องจากตัวคูณดัชนีของฟิวเจอร์สคิดเป็น 5 เท่าของออปชัน ดังนั้น ในการทำ Protective Put การ Long Futures 1 สัญญา จะจับคู่กับการ Long Put ได้อย่างมากที่สุด 5 สัญญา เหมือนกับการทำ Covered Call ครับ โดยนาย ก จะใช้สิทธิในพุทออปชัน S50Z07P670 เมื่อดัชนี SET50 ณ วันหมดอายุอยู่ต่ำกว่า 670 จุด และจะได้กำไรหลังหักค่าพรีเมียม ก็ต่อเมื่อดัชนี SET50 ลงไปต่ำกว่า 630 จุด
เมื่อ ถึงสิ้นเดือนธันวาคม หากดัชนี SET50 เพิ่มสูงขึ้นไปอยู่ที่ 720 จุด นาย ก จะได้กำไรจากการถือฟิวเจอร์ส (720-650)x1,000 = 70,000 บาท แต่ต้องเสียพรีเมียมจากการ Long Put ไป 40,000 บาท สุทธิแล้วได้กำไรทั้งสิ้น 30,000 บาท ทั้งนี้ หากดัชนี SET50 ปรับตัวสูงขึ้นไม่มากนัก โดยไปปิดที่ 690 จุด นาย ก จะได้กำไรจากการถือฟิวเจอร์ส (690-650)x1,000 = 40,000 บาท สุทธิจากค่าพรีเมียมที่เสียไปแล้ว ในกรณีนี้ นาย ก จะไม่ได้ไม่เสียจากการทำ Protective Put
ใน ทางตรงข้าม หากดัชนี SET 50 ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ โดยปิดที่ 650 จุด เท่ากับราคาฟิวเจอร์สที่ซื้อ นาย ก ก็จะไม่ได้รับกำไรจากการขายฟิวเจอร์ส แต่นาย ก มีผลขาดทุนจากการใช้สิทธิในพุทออปชันจำนวน (670-650-40)x200x5 = 20,000 บาท รวมแล้วขาดทุนทั้งสิ้น 20,000 บาท ทั้งนี้ หากดัชนี SET50 ปรับตัวลงแรงไปปิดที่ 620 จุด นาย ก จะขาดทุนจากการถือฟิวเจอร์ส (650-620)x1,000 = 30,000 บาท แต่ได้รับการชดเชยจากกำไรจากการใช้สิทธิในพุทออปชัน (670-620-40)x200x5 = 10,000 บาท สุทธิแล้วขาดทุน 20,000 บาท เท่ากับกรณีก่อนหน้า
จะ เห็นได้ว่าผลตอบแทนของกลยุทธ์นี้ จะคล้ายกับการทำประกันพอร์ทหรือสังเกตดีๆ จะเหมือนกับการซื้อคอลออปชัน S50Z07C670 ที่ราคา 20 จุด จำนวน 5 สัญญา กล่าวคือ หากดัชนี SET50 เพิ่มขึ้นมากกว่า 690 จุด การซื้อคอลออปชันจะได้รับกำไรไม่จำกัด แต่ในกรณีที่ SET50 ปรับตัวลง ผู้ซื้อคอลออปชันก็จะมีผลขาดทุนไม่เกิน 10,000 บาท เท่ากับค่าพรีเมียมที่เสียไปครับ แต่การทำ Protective Put นั้น จะเหมาะกับนักลงทุนที่มีสถานะ Long Futures อยู่ก่อนแล้ว การซื้อพุทออปชันจะช่วยเปลี่ยนสถานะสุทธิของพอร์ทให้เป็นการ Long Call ครับ
ทั้ง นี้ หากไม่ต้องการรอจนหมดอายุ ก็สามารถแยกปิดสถานะ Long Futures กับ Long Put ได้ โดยผลตอบแทนของการ Long Put ก็จะวิ่งสวนทางกับการ Long Futures ตามที่เคยกล่าวมาแล้วในครั้งก่อนครับ
เป็น อย่างไรกันบ้างครับ การทำ Ptotective Put เพื่อจำกัดผลขาดทุนของพอร์ท กลยุทธ์นี้สามารถปรับใช้ได้ดีกับผู้ที่ลงทุนในหุ้นอยู่ด้วย และน่าจะเป็นประโยชน์กับภาวะตลาดที่ผันผวนแบบนี้นะครับ คราวหน้าเราจะมาดูการทำ Spread ของออปชันกัน ต้องติดตามนะครับ