สวัสดีครับท่านผู้อ่าน คงได้ติดตามการซื้อขาย SET 50 Index Options ในตลาด TFEX กันมาบ้างแล้วนะครับ เพราะตลาด TFEX เปิดทำการซื้อขาย Options กันไปแล้วเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา บางท่านอาจทดลองซื้อขายกันบ้างแล้วด้วยสำหรับกลยุทธ์การ Long Call ที่เราได้ศึกษากันไปในตอนที่แล้ว วันนี้เราจะมาเพิ่มเติมความรู้สำหรับกลยุทธ์การทำกำไรในตลาดขาลง กับการ Long Put กันครับ
พุ ทออปชันเป็นสิทธิที่ผู้ซื้อได้รับจากผู้ขายในการเลือกที่จะขายสินค้าอ้างอิง ได้ในราคา และระยะเวลาที่กำหนด ดังนั้น ผู้ซื้อมีสิทธิที่จะใช้สิทธิหรือไม่ก็ได้ ผู้ซื้อจึงต้องจ่ายพรีเมียมให้แก่ผู้ขาย เช่นเดียวกับการซื้อคอลออปชันครับ
ข้อ แตกต่างระหว่างการ Long Call กับ Long Put จะต่างกันตรงการคาดการณ์ของนักลงทุนเป็นหลัก โดยเมื่อออปชันครบกำหนดอายุ ผู้ถือพุทออปชันจะใช้สิทธิก็ต่อเมื่อราคาใช้สิทธินั้นสูงกว่าราคาตลาดของ สินค้าอ้างอิง ดังนั้น การ Long Put จึงเหมาะกับผู้ที่คาดว่าตลาดจะแกว่งตัวลงแรงในอนาคต ซึ่งตรงกันข้ามกับกรณี Long Call โดยสิ้นเชิงครับ
ตัวอย่าง เช่น สมมติให้ปัจจุบันดัชนี SET50 อยู่ที่ 650 จุด นาย ก คาดว่าเศรษฐกิจจะซบเซา และดัชนี SET50 จะลดต่ำลงกว่าปัจจุบันค่อนข้างมาก จึงตัดสินใจซื้อ S50Z07P650 จำนวน 1 สัญญา ในราคา 30 จุด หรือ 30x200 = 6,000 บาท เมื่อถึงสิ้นเดือนธันวาคม นาย ก จะตัดสินใจใช้สิทธิหรือไม่ ขึ้นอยู่กับระดับดัชนี SET50 ณ วันหมดอายุ หากดัชนี SET50 ลดลงเหลือ 600 จุด นาย ก จะได้กำไรจากการใช้สิทธิเท่ากับ 650-600 = 50 จุด หักต้นทุนค่าพรีเมียม สุทธิแล้วได้กำไรทั้งสิ้น (50-30)x200 = 4,000 บาท ครับ ในกรณีนี้ นาย ก ก็จะใช้สิทธิ
แต่ ถ้า SET50 ณ สิ้นเดือนธันวาคม อยู่ที่ 630 จุด แม้นาย ก จะสามารถขาย SET50 ได้ราคาสูงกว่าราคาตลาด 650-630 = 20 จุด แต่เมื่อหักต้นทุนค่าพรีเมียม สุทธิแล้วจะขาดทุน (30-20)x200 = 2,000 บาท อย่างไรก็ตาม แม้ว่าใช้สิทธิแล้วจะขาดทุน นาย ก ก็ควรเลือกที่จะใช้สิทธิ เพราะอย่างน้อยก็ขาดทุนน้อยกว่าการปล่อยให้ออปชันหมดอายุไปเฉยๆ ครับ
อย่าง ไรก็ตาม หากดัชนี SET50 ณ วันหมดอายุ ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ คือเพิ่มสูงขึ้นเป็น 660 จุด หาก นาย ก ใช้สิทธิจะขาดทุนเท่ากับ (650-660)x200 = 2,000 บาท รวมต้นทุนค่าพรีเมียม สุทธิแล้วขาดทุน 2,000+6,000 = 8,000 บาท กรณีนี้ นาย ก ก็จะปล่อยให้ออปชันนั้นหมดอายุไป และยอมขาดทุนเท่ากับพรีเมียม 6,000 บาท
จะ เห็นได้ว่ากลยุทธ์ Long Put นี้มีลักษณะเหมือนการซื้อประกันครับ คือเราต้องจ่ายพรีเมียมหรือเบี้ยประกันไปก่อน หากไม่มีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้น (หุ้นไม่ตก) ก็จะเสียพรีเมียมส่วนนั้นไปฟรีๆ แต่หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นจริงๆ (หุ้นตก) เราก็จะได้รับเงินชดเชยส่วนหนึ่ง ซึ่งเปรียบได้กับกำไรที่ได้รับจากการใช้สิทธินั่นเองครับ การให้ผลกำไรในตลาดขาลงนี่เองที่ทำให้นักลงทุนส่วนมากนิยมการ Long Put เพื่อลดความเสี่ยงจากการถือหลักทรัพย์ชนิดอื่นๆ
ทั้ง นี้ หากไม่ต้องการถือออปชันจนหมดอายุ ก็สามารถขายพุทออปชันนั้นเพื่อทำกำไร (หรือตัดขาดทุน) ในกรณีที่ราคาออปชันปรับตัวสูงขึ้น (หรือลดลง) โดยราคาพุทออปชันบน SET50 จะขึ้นอยู่กับระดับดัชนี SET50 เป็นหลัก หาก SET50 ปรับตัวลดลง ราคาพุทออปชันก็จะสูงขึ้น เพราะโอกาสที่จะใช้สิทธิมีมากขึ้น ส่วนความผันผวนของดัชนี SET50 และอายุคงเหลือของออปชัน ก็มีผลต่อราคาพุทออปชันเช่นเดียวกับกรณีของคอลออปชัน กล่าวคือ หากดัชนี SET50 แกว่งตัวค่อนข้างแรง โอกาสที่พุทออปชันจะ In-the-Money ก็มีมากขึ้น ราคาพุทออปชันก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย และหากออปชันเหลือเวลาน้อยๆ โอกาสที่ดัชนี SET50 ลดลงแรงก็มีน้อย ราคาพุทออปชันในช่วงนี้จะลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ทั้งกลยุทธ์ Long Call และ Long Put จึงไม่เหมาะกับออปชันที่เหลืออายุน้อยๆ ครับ
เป็น อย่างไรกันบ้างครับ การ Long Put เพื่อทำกำไรช่วงตลาดขาลง หรือใช้กลยุทธ์นี้เพื่อป้องกันความเสี่ยงของ Portfolio ก็จะมีประโยชน์อย่างมากเลยครับ ได้กลยุทธ์เพิ่มอีกแล้ว อาจจะลองทำความเข้าใจความเคลื่อนไหวของราคา Put Options ในตลาดกันเพิ่มขึ้น คราวหน้าเราจะมาดูผลตอบแทนจากการขายคอลออปชันหรือ Short Call กัน ต้องติดตามนะครับ