หลัง จากที่เราได้แนะนำกลยุทธ์ในการซื้อขายออปชันไปหลากหลายรูปแบบแล้ว มีใครได้ลองไปฝึกวิชาดูบ้างหรือยังครับ คราวที่แล้วเราก็ศึกษากลยุทธ์สู้ตลาดกระทิงกันไปแล้ว วันนี้เราจะมาเรียนกระบวนท่าตั้งรับตลาดหมีอย่าง Bear Spread ดูบ้างครับ
Bear Spread จะคล้ายกับ Bull Spread ตรงที่เป็นการใช้ออปชันชนิดเดียวกัน ที่มีราคาใช้สิทธิต่างกันมาสร้างเป็นกลยุทธ์ แต่จะใช้สำหรับทำกำไรในช่วงตลาดขาลง และป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่ตลาดเปลี่ยนทิศเป็นขาขึ้น ทั้งนี้ ถ้าสร้างจาก Call Options จะเรียกว่า Bear Call Spread และถ้าสร้างจาก Put Options ก็จะเรียกว่า Bear Put Spread ครับ
กรณี ของ Bear Call Spread จะเป็นการซื้อคอลออปชันที่ราคาใช้สิทธิหนึ่ง พร้อมกับขายคอลออปชันที่มีราคาใช้สิทธิต่ำกว่า ยกตัวอย่างเช่น นาย ก ซื้อ S50Z07C660 จำนวน 1 สัญญา ที่ราคา 10 จุด ในขณะเดียวกันก็ขาย S50Z07C620 จำนวน 1 สัญญา ที่ราคา 30 จุด สุทธิแล้วนาย ก ได้รับเงินทั้งสิ้น 4,000 บาท ทั้งนี้ คอลออปชันที่มีราคาใช้สิทธิต่ำจะมีราคาสูงกว่าคอลออปชันที่มีราคาใช้สิทธิ สูงตามที่เคยกล่าวมาแล้ว ดังนั้น ในการทำ Bear Call Spread ผู้ลงทุนจะเป็นฝ่ายได้รับเงินค่าพรีเมียมก่อน และถูกเรียกวางหลักประกันเท่ากับผลต่างของราคาใช้สิทธิคูณด้วยตัวคูณดัชนี
ณ วันครบกำหนดอายุ หากดัชนี SET50 ปิดที่ 620 จุด นาย ก จะได้พรีเมียมจากการขายคอลออปชันไปฟรีๆ 6,000 บาท แต่ต้องเสียพรีเมียมจากการซื้อคอลออปชันที่ราคาใช้สิทธิสูงไปเช่นกันจำนวน 2,000 บาท สุทธิแล้วได้กำไร 2,000 บาท โดยหาก SET50 ปิดต่ำกว่า 620 จุด เมื่อหักลบพรีเมียมที่ได้กับที่เสียแล้ว จะมีผลกำไรได้สูงสุดไม่กิน 4,000 บาท อย่างไรก็ตาม หาก SET50 ไม่เป็นไปตามคาด ขึ้นมาปิดที่ 660 จุด นาย ก จะขาดทุนจากการขายคอลออปชันไป 2,000 บาท และต้องเสียพรีเมียมจากการซื้อคอลออปชันไปอีก 2,000 บาท รวมแล้วขาดทุน 4,000 บาท ทั้งนี้ ในกรณีที่ SET50 ปิดสูงกว่า 660 บาท นาย ก ก็จะจำกัดผลขาดทุนไว้ที่ 4,000 บาท
สำหรับ Bear Put Spread จะเป็นการซื้อพุทออปชันที่ราคาใช้สิทธิหนึ่ง พร้อมกับขายพุทออปชันที่มีราคาใช้สิทธิต่ำกว่า ยกตัวอย่างเช่น นาย ก ซื้อ S50Z07P660 จำนวน 1 สัญญา ที่ราคา 30 จุด ขณะเดียวกันก็ขาย S50Z07P620 จำนวน 1 สัญญา ที่ราคา 10 จุด สุทธิแล้ว นาย ก ต้องจ่ายเงินออกไปทั้งสิ้น 4,000 บาท ทั้งนี้ พุทออปชันที่มีราคาใช้สิทธิต่ำจะมีราคาต่ำกว่าพุทออปชันที่มีราคาใช้สิทธิ สูง ดังนั้น ในการทำ Bear Put Spread จะตรงข้ามกับ Bull Put Spread คือผู้ลงทุนจะเป็นฝ่ายจ่ายเงินออกไปก่อน โดยไม่ต้องวางหลักประกันแต่อย่างใด
ณ สิ้นเดือนธันวาคม หาก SET50 ปิดที่ 620 จุด นาย ก จะได้พรีเมียมจากการขายพุทออปชัน เนื่องจากผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิจำนวน 2,000 บาท และได้กำไรจากการซื้อพุทออปชันอีก 2,000 บาท รวมแล้วได้กำไร 4,000 บาท โดยในกรณีที่ SET50 ปิดต่ำกว่า 620 จุด กำไรจากการซื้อพุทออปชันจะหักลบกับขาดทุนจากการขายพุทออปชัน สุทธิแล้วจะได้กำไรไม่เกิน 4,000 บาท ในทางตรงข้าม หาก SET50 ขึ้นมาปิดที่ 660 จุด นาย ก จะเสียพรีเมียมจากการซื้อคอลออปชันไปฟรีๆ 6,000 บาท แต่ได้ชดเชยจากพรีเมียมของการขายพุทออปชัน 2,000 บาท สุทธิแล้วขาดทุน 4,000 บาท และในกรณีที่ SET50 ปิดสูงกว่า 660 จุด นาย ก ก็มีผลขาดทุนไม่เกิน 4,000 บาท
จะ เห็นได้ว่าผลตอบแทนของ Bear Call Spread กับ Bear Put Spread จะมีลักษณะคล้ายกัน ต่างกันตรงที่การทำ Bear Call Spread ผู้ลงทุนจะเป็นฝ่ายได้รับเงินเข้ามาก่อน และต้องวางหลักประกันจำนวนหนึ่ง ในขณะที่การทำ Bear Put Spread ผู้ลงทุนจะต้องเป็นฝ่ายจ่ายเงินออกไปในวันแรก สังเกตดีๆ จะลักษณะผลตอบแทนจะตรงกันข้ามกับกรณีของ Bull Spread ทุกประการครับ ทั้งนี้ หากตลาดอยู่ในขาขึ้นราคาคอลออปชันจะสูงกว่าพุทออปชันโดยเปรียบเทียบ การทำ Bear Call Spread อาจจะมีต้นทุนสูงกว่าการทำ Bear Put Spread แต่หากตลาดเป็นขาลง การทำ Bear Put Spread ก็อาจจะมีต้นทุนสูงกว่าได้ กรณีนี้ ต้นทุนของการทำ Bull Spread และ Bear Spread จะผันแปรตามภาวะตลาดในทิศทางเดียวกันครับ
คราวหน้าเราจะมาศึกษาการทำกำไรในช่วงตลาด Sideway กันบ้าง อย่าพลาดนะครับ