ช่วงนี้ตลาดผันผวนจริงๆ ครับ ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา คนยังเชื่อว่าตลาดจะขึ้นอยู่เลย แต่สัปดาห์นี้ตลาดกลับแกว่งตัวลงอีกแล้ว หากใคร Long Futures ไว้แล้วยังไม่ได้ปิดสถานะ มาลองฟังทางนี้ดูครับ เรามีกลยุทธ์ที่ช่วยคุณได้ที่เรียกว่า Covered Call ครับ
Covered Call จริงๆ แล้วเป็นการ Long Futures ควบคู่ไปกับการ Short Call ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าการ Long Futures ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่คาดว่าตลาดจะเป็นขาขึ้น ในขณะที่การ Short Call จะเหมาะสำหรับแนวโน้มตลาดขาลงนั้น กลยุทธ์ที่แตกต่างกันนี้ เมื่อนำมารวมกันแล้วจะมีประโยชน์อย่างไร ก่อนอื่นต้องขออธิบายก่อนครับว่ากลยุทธ์นี้ จุดประสงค์หลักจะเน้นเพื่อลดความเสี่ยงมากกว่าเน้นการทำกำไรครับ
โดย กลยุทธ์นี้เหมาะกับนักลงทุนที่มองว่าตลาดจะปรับตัวขึ้น และได้ Long Futures เอาไว้ก่อนแล้ว แต่มีความกังวลว่าตลาดอาจจะปรับตัวสูงขึ้นได้ไม่มาก และมีความเป็นไปได้ที่ตลาดจะปรับตัวลง จึงได้ทำการลดความเสี่ยงโดยการ Short Call เพื่อรับพรีเมียมเป็นการลดต้นทุนของพอร์ท และลดผลขาดทุนในกรณีที่ตลาดปรับตัวลงได้ในระดับหนึ่ง
ตัวอย่าง เช่น นาย ก คาดว่าดัชนี SET50 น่าจะปรับตัวสูงขึ้น จึงซื้อฟิวเจอร์ส S50Z07 ที่ราคา 650 จุด ต่อมาเมื่อใกล้ถึงวันหมดอายุ นาย ก เริ่มกังวลว่าตลาดอาจจะขึ้นได้ไม่มากหรืออาจจะปรับตัวลง จึงลดความเสี่ยงด้วยการขายคอลออปชัน S50Z07C670 จำนวน 5 สัญญา ที่ราคา 30 จุด ได้รับค่าพรีเมียม 30,000 บาท ทั้งนี้ เนื่องจากตัวคูณดัชนีของฟิวเจอร์สคิดเป็น 5 เท่าของออปชัน ดังนั้น ในการทำ Covered Call การ Long Futures 1 สัญญา จะจับคู่กับการ Short Call ได้อย่างมากที่สุด 5 สัญญาครับ
เมื่อ ถึงสิ้นเดือนธันวาคม หากดัชนี SET50 ขึ้นไปอยู่ที่ 720 จุด นาย ก จะได้กำไรจากการถือฟิวเจอร์ส (720-650)x1,000 = 70,000 บาท แต่มีผลขาดทุนจากการ Short Call (720-670-30)x200x5 = 20,000 บาท สุทธิแล้วได้กำไรทั้งสิ้น 50,000 บาท ทั้งนี้ หากดัชนี SET50 ปรับตัวสูงขึ้นไม่มากนัก โดยไปปิดที่ 670 จุด นาย ก จะได้กำไรจากการถือฟิวเจอร์ส (670-650)x1,000 = 20,000 บาท และได้พรีเมียมจากการ Short Call ไปฟรีๆ เนื่องจากผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิอีก 30,000 บาท รวมแล้วได้กำไร 50,000 บาท เท่ากับกรณีแรก
ใน ทางตรงข้าม หากดัชนี SET 50 ไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นตามที่คาดไว้ โดยปิดที่ 650 จุด เท่ากับราคาฟิวเจอร์สที่ซื้อไว้ นาย ก ก็จะไม่ได้รับกำไรจากการถือฟิวเจอร์ส แต่ยังคงได้ค่าพรีเมียมจากการ Short Call จำนวน 30,000 บาท แต่ถ้าดัชนี SET50 กลับปรับตัวลดลงไปปิดที่ 620 จุด นาย ก จะขาดทุนจากการซื้อฟิวเจอร์สจำนวน (650-620)x1,000 = 30,000 บาท แต่ผลขาดทุนนั้นก็ได้รับการชดเชยจากค่าพรีเมียมในการ Short Call สุทธิแล้ว นาย ก ไม่ได้ไม่เสียจากการทำ Covered Call
อย่าง ไรก็ตาม หากดัชนี SET50 ปรับตัวลงต่ำกว่า 620 จุด โดยปิดที่ 600 จุด นาย ก จะขาดทุนจากการซื้อฟิวเจอร์ส (650-600)x1,000 = 50,000 บาท แต่ได้ชดเชยจากค่าพรีเมียม สุทธิแล้วขาดทุนเท่ากับ 20,000 บาท แม้ในกรณีนี้ นาย ก จะขาดทุน แต่ก็ขาดทุนน้อยกว่าการถือฟิวเจอร์สเพียงอย่างเดียว เนื่องจากมีค่าพรีเมียมจากการ Short Call เป็นตัวช่วยลดต้นทุนและพยุงความเสี่ยงของพอร์ทโดยรวม
จะ เห็นได้ว่าผลตอบแทนของกลยุทธ์นี้ จะคล้ายกับการขายพุทออปชัน S50Z07P670 ที่ราคา 50 จุด จำนวน 5 สัญญา กล่าวคือ หากดัชนี SET50 เพิ่มขึ้นมากกว่า 620 จุด ผู้ขายพุทออปชันจะได้รับกำไรสูงสุดไม่เกินค่าพรีเมียม 50,000 บาท แต่ในกรณีที่ SET50 ปรับตัวลงต่ำกว่า 620 จุด ผู้ขายพุทออปชันก็จะมีผลขาดทุนได้ไม่จำกัด แต่การทำ Covered Call นั้น จะเหมาะกับนักลงทุนที่มีสถานะ Long Futures อยู่ก่อนแล้ว การขายคอลออปชันจะช่วยเปลี่ยนสถานะสุทธิของพอร์ทให้เป็นการ Short Put ครับ
ทั้ง นี้ หากไม่ต้องการรอจนหมดอายุ ก้อสามารถแยกปิดสถานะ Long Futures กับ Short Call ได้ โดยผลตอบแทนของ Short Call ก็จะวิ่งสวนทางกับการ Long Futures ตามที่เคยกล่าวมาแล้วในครั้งก่อนครับ
เป็น อย่างไรกันบ้างครับ การทำ Covered Call เพื่อลดต้นทุนของพอร์ท คราวหน้าเราจะมาดูการทำประกันพอร์ทโดยการ Short Put ดูบ้าง ต้องติดตามครับ