หน้าเว็บ

ตอนที่ 11: ลดต้นทุนพอร์ทด้วย Covered Call

Options13
clip_image001 ช่วงนี้ตลาดผันผวนจริงๆ ครับ ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา คนยังเชื่อว่าตลาดจะขึ้นอยู่เลย แต่สัปดาห์นี้ตลาดกลับแกว่งตัวลงอีกแล้ว หากใคร Long Futures ไว้แล้วยังไม่ได้ปิดสถานะ มาลองฟังทางนี้ดูครับ เรามีกลยุทธ์ที่ช่วยคุณได้ที่เรียกว่า Covered Call ครับ
clip_image003Covered Call จริงๆ แล้วเป็นการ Long Futures ควบคู่ไปกับการ Short Call ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าการ Long Futures ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่คาดว่าตลาดจะเป็นขาขึ้น ในขณะที่การ Short Call จะเหมาะสำหรับแนวโน้มตลาดขาลงนั้น กลยุทธ์ที่แตกต่างกันนี้ เมื่อนำมารวมกันแล้วจะมีประโยชน์อย่างไร ก่อนอื่นต้องขออธิบายก่อนครับว่ากลยุทธ์นี้ จุดประสงค์หลักจะเน้นเพื่อลดความเสี่ยงมากกว่าเน้นการทำกำไรครับ
clip_image003[1]โดย กลยุทธ์นี้เหมาะกับนักลงทุนที่มองว่าตลาดจะปรับตัวขึ้น และได้ Long Futures เอาไว้ก่อนแล้ว แต่มีความกังวลว่าตลาดอาจจะปรับตัวสูงขึ้นได้ไม่มาก และมีความเป็นไปได้ที่ตลาดจะปรับตัวลง จึงได้ทำการลดความเสี่ยงโดยการ Short Call เพื่อรับพรีเมียมเป็นการลดต้นทุนของพอร์ท และลดผลขาดทุนในกรณีที่ตลาดปรับตัวลงได้ในระดับหนึ่ง
clip_image003[2]ตัวอย่าง เช่น นาย ก คาดว่าดัชนี SET50 น่าจะปรับตัวสูงขึ้น จึงซื้อฟิวเจอร์ส S50Z07 ที่ราคา 650 จุด ต่อมาเมื่อใกล้ถึงวันหมดอายุ นาย ก เริ่มกังวลว่าตลาดอาจจะขึ้นได้ไม่มากหรืออาจจะปรับตัวลง จึงลดความเสี่ยงด้วยการขายคอลออปชัน S50Z07C670 จำนวน 5 สัญญา ที่ราคา 30 จุด ได้รับค่าพรีเมียม 30,000 บาท ทั้งนี้ เนื่องจากตัวคูณดัชนีของฟิวเจอร์สคิดเป็น 5 เท่าของออปชัน ดังนั้น ในการทำ Covered Call การ Long Futures 1 สัญญา จะจับคู่กับการ Short Call ได้อย่างมากที่สุด 5 สัญญาครับ
clip_image003[3]เมื่อ ถึงสิ้นเดือนธันวาคม หากดัชนี SET50 ขึ้นไปอยู่ที่ 720 จุด นาย ก จะได้กำไรจากการถือฟิวเจอร์ส (720-650)x1,000 = 70,000 บาท แต่มีผลขาดทุนจากการ Short Call (720-670-30)x200x5 = 20,000 บาท สุทธิแล้วได้กำไรทั้งสิ้น 50,000 บาท ทั้งนี้ หากดัชนี SET50 ปรับตัวสูงขึ้นไม่มากนัก โดยไปปิดที่ 670 จุด นาย ก จะได้กำไรจากการถือฟิวเจอร์ส (670-650)x1,000 = 20,000 บาท และได้พรีเมียมจากการ Short Call ไปฟรีๆ เนื่องจากผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิอีก 30,000 บาท รวมแล้วได้กำไร 50,000 บาท เท่ากับกรณีแรก
clip_image003[4]ใน ทางตรงข้าม หากดัชนี SET 50 ไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นตามที่คาดไว้ โดยปิดที่ 650 จุด เท่ากับราคาฟิวเจอร์สที่ซื้อไว้ นาย ก ก็จะไม่ได้รับกำไรจากการถือฟิวเจอร์ส แต่ยังคงได้ค่าพรีเมียมจากการ Short Call จำนวน 30,000 บาท แต่ถ้าดัชนี SET50 กลับปรับตัวลดลงไปปิดที่ 620 จุด นาย ก จะขาดทุนจากการซื้อฟิวเจอร์สจำนวน (650-620)x1,000 = 30,000 บาท แต่ผลขาดทุนนั้นก็ได้รับการชดเชยจากค่าพรีเมียมในการ Short Call สุทธิแล้ว นาย ก ไม่ได้ไม่เสียจากการทำ Covered Call
clip_image003[5]อย่าง ไรก็ตาม หากดัชนี SET50 ปรับตัวลงต่ำกว่า 620 จุด โดยปิดที่ 600 จุด นาย ก จะขาดทุนจากการซื้อฟิวเจอร์ส (650-600)x1,000 = 50,000 บาท แต่ได้ชดเชยจากค่าพรีเมียม สุทธิแล้วขาดทุนเท่ากับ 20,000 บาท แม้ในกรณีนี้ นาย ก จะขาดทุน แต่ก็ขาดทุนน้อยกว่าการถือฟิวเจอร์สเพียงอย่างเดียว เนื่องจากมีค่าพรีเมียมจากการ Short Call เป็นตัวช่วยลดต้นทุนและพยุงความเสี่ยงของพอร์ทโดยรวม
clip_image003[6]จะ เห็นได้ว่าผลตอบแทนของกลยุทธ์นี้ จะคล้ายกับการขายพุทออปชัน S50Z07P670 ที่ราคา 50 จุด จำนวน 5 สัญญา กล่าวคือ หากดัชนี SET50 เพิ่มขึ้นมากกว่า 620 จุด ผู้ขายพุทออปชันจะได้รับกำไรสูงสุดไม่เกินค่าพรีเมียม 50,000 บาท แต่ในกรณีที่ SET50 ปรับตัวลงต่ำกว่า 620 จุด ผู้ขายพุทออปชันก็จะมีผลขาดทุนได้ไม่จำกัด แต่การทำ Covered Call นั้น จะเหมาะกับนักลงทุนที่มีสถานะ Long Futures อยู่ก่อนแล้ว การขายคอลออปชันจะช่วยเปลี่ยนสถานะสุทธิของพอร์ทให้เป็นการ Short Put ครับ
clip_image003[7]ทั้ง นี้ หากไม่ต้องการรอจนหมดอายุ ก้อสามารถแยกปิดสถานะ Long Futures กับ Short Call ได้ โดยผลตอบแทนของ Short Call ก็จะวิ่งสวนทางกับการ Long Futures ตามที่เคยกล่าวมาแล้วในครั้งก่อนครับ
clip_image003[8]เป็น อย่างไรกันบ้างครับ การทำ Covered Call เพื่อลดต้นทุนของพอร์ท คราวหน้าเราจะมาดูการทำประกันพอร์ทโดยการ Short Put ดูบ้าง ต้องติดตามครับ

อ่านต่อตอนที่12

Bookmark and Share

POPULAR POSTS

PLEASE VOTE @sset4blog IF Y0U LIKE

SOCIAL COMMENTS

ผู้ติดตาม